วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Adverb

Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)


คำกริยาวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้ขยาย (Modify) คำกริยา, คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง เพื่อให้ได้ความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
                -  He runs quickly. = quickly บอกอาการของประธาน He ขยายคำกริยาคือ runs
                -  She is very beautiful. = very บอกปริมาณหรือระดับขยายคำคุณศัพท์คือ beautiful
                -  He speaks too fast. = too บอกปริมาณหรือระดับขยายคำกริยาวิเศษณ์คือ fast
ประเภทของคำกริยาวิเศษณ์ (Kinds of Adverb)
โดยปกติแล้วคำกริยาวิเศษณ์ แบ่งออกได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. Simple Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์ทั่วไป
2. Interrogative Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์คำถาม
3. Relative(Conjunction) Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์เชื่อมประโยค
คำกริยาวิเศษณ์ส่วนมากจัดอยู่ในประเภท simple adverbs ส่วนประเภท interrogative, relative adverbs นั้นมีไม่มาก มีรายละเอียดดังนี้
1. Simple Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่มีหน้าที่ขยายคำกริยา, คำคุณศัพท์และกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง แบ่งออกได้ดังนี้
1. Adverb of time คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกเกี่ยวกับเวลา ทำหน้าที่ขยายคำกริยาเพื่อบอกเกี่ยวกับเวลา ใช้ตอบคำถามคำว่า
"When" เช่น
             - I will do my homework tomorrow. = ฉันจะทำการบ้านของฉันวันพรุ่งนี้
             - He came very late. Let's start now. = เขามาช้ามาก, เราเริ่มทำงานตอนนี้เลยดีกว่า
Adverb of Time ที่ใช้บ่อย ๆ ได้แก่
                often, afterward = ภายหลัง                    already = เรียบร้อย 
                before = ก่อน                                       immediately = ทันที 
                late, lately = ช้า, เร็ว ๆ นี้                        once = ครั้งหนึ่ง 
                presently = ในเร็ว ๆ นี้(ในอนาคต)                shortly = ไม่นาน
                soon = ในไม่ช้านี้                                   still = ยัง 
                when = เมื่อ                                          yet = ยัง 
2. Adverb of Frequency คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกความสม่ำเสมอ, ความถี่หรือจำนวนครั้งของการกระทำ ได้แก่ often, again, sometimes, never, ever, weekly, every morning, monthly, etc. จำใช้ตอบคำถามคำว่า How often? เช่น
           -  He always does his work well. = เขาผู้ชายทำงานได้ดีเสมอ 
           -  We have never seen now. = พวกเราไม่เคยเห็นหิมะเลย
           -  I sometimes go shopping. = ฉันไปจับจ่ายซื้อของเป็นบางครั้งบางคราว
หมายเหตุ คำว่า ever (เคย) ไม่นิยมใช้ในประโยคบอกเล่า มักใช้ในประโยคคำถามหรือเงื่อนไข (If-Sentence) เช่น
- Do you ever see Bush now? = คุณเคยพบกับคุณบุชบ้างหรือเปล่า?
3. Adverb of Place คือ คำกริยาวิเศษณ์บอกสถานที่ว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ใด ได้แก่คำว่า near, out, inside, outside, upstairs, downstairs, here, etc. ใช้ตอบคำถามคำว่า "Where" เช่น
            - My boss went outsideBangkok. = เจ้านายของฉันได้ออกจากกรุงเทพฯ แล้วจ้า
            - He lives here. I want to go there. = เขาอาศัยอยู่ที่นี่ , ฉันต้องการจะไปที่นั่น
3. Adverb of Manner คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกกริยาอาการหรือคุณลักษณะที่แสดงออกมา ได้แก่คำว่า well, fast,
hard, late, probably, slowly, certainly, quietly, carefully, etc. โดยใช้ตอบคำถามว่า "How" เช่น
            - Somrak fights bravely. = สมรักษ์ต่อสู้อย่างกล้าหาญ
             - She speaks English well. = เขาผู้หญิงพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก ๆ
คำกริยาบอกกริยาอาการ (Adverb of Manner) ยังแบ่งย่อยออกได้อีก ดังนี้
     1. Adverb of Degree, Quality คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกลักษณะอาการนั้นอยู่ในระดับหรือคุณภาพใด เช่น
             - This coffee is very good. = กาแฟนี้รสชาดดีมาก (very เป็น adverb ขยายคำคุณศัพท์คือ good
เพื่อบอกระดับของ good
             - It has been a long journey but we are nearly there now. = มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานทีเดียว
แต่ตอนนี้พวกเราใกล้จะถึงที่หมายแล้ว (nearly เป็น adverb ที่ขยาย adverb คำว่า there)
Adverb of Degree ที่ใช้บ่อย ๆ ได้แก่
            very = มาก ๆ, อย่างยิ่ง                                                              quite = โดยสมบูรณ์, ทีเดียว, จริง ๆ
           too = เพิ่มเติม, ด้วยเหมือนกัน                                                   nearly = เกือบทั้งหมด, ประมาณ
           completely = สำเร็จ, ครบ, สมบูรณ์                                     absolutely = ทั้งหมด, โดยสมบูรณ์
          deeply = อย่างมาก, อย่างลึกซึ้ง                                    distinctly = ชัดเจน, แจ่มแจ้ง
          enormous = ใหญ่โต                                                entirely = สมบูรณ์, ทั้งสิ้น
          greatly = อย่างยิ่งใหญ่                                                            equally = เท่ากัน, เสมอกัน
          exactly = อย่างแน่นอน, อย่างแน่ชัด                                      extremely = อย่างสุดยอด
          just = อย่างเหมาะ, พอดี                                             much = มาก
     2. Adverb of Quantity คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกปริมาณของการกระทำว่ามากน้อยหรือบ่อยแค่ไหน เช่น
                -  He worked little. = เขาทำงานไม่มาก
                -  She worked much = หล่อนทำงานหนัก
                - We won the prize twice = พวกเราได้รับรางวัลสองครั้ง
      3. Adverb of Reason คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกถึงเหตุผลในการกระทำนั้น ๆ เช่น
                - Consequently, he refused to go. = เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ปฏิเสธที่จะไปด้วย
                - Therefore, they decided to boycott the meeting. = เพราะฉะนั้นพวกเขาจึุงตัดสินใจไม่เข้าร่วมประชุม
                - Hence, I am unable to help you. = ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถช่วยคุณได้
     4. Adverb of Affirmation คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่แสดงการยืนยันหรือการปฏิเสธ เช่น
                - She is certainly right. I am not going. = หล่อนพูดถูกจริงๆ ผมจะไม่ไป
                - He is a fool indeed. = เขาช่างเป็นคนโง่จริง ๆ
                - You are surely misunderstood. I will probably go. = คุณเข้าใจผิดอย่างแน่นอน บางทีผมจะไป
2. Interrogative Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่มีหน้าทำหน้าที่เป็นคำถาม ซึ่งอาจเป็นคำเดี่ยว ๆ หรือเป็นคำผสม มักจะวางไว้
ต้นประโยคเสมอ แบ่งออกได้ 6 ประเภท คือ
         1. บอกเวลา (Time) ได้แก่คำว่า "When" (เมื่อไหร่), "How long" (นานเท่าไหร่) เช่น
                    -  When will you come back? = คุณจะกลับมาเมื่อไหร่?
                    -   How long have you been in Bangkok? = คุณมาอยู่ที่กรุงเทพฯ นานเท่าไหร่แล้วจ๊ะ
         2. บอกสถานที่,ตำแหน่ง (Place) ได้แก่คำว่า "Where" เช่น
                    -  Where are you come from? = คุณมาจากไหน?
         3. บอกจำนวน (Number) ได้แก่คำว่า How many (มากเท่าไหร่), How often (บ่อยครั้งเท่าไหร่) เช่น
                    -   How many pens do you have? = คุณมีปากกามากเท่าไหร่?
                    -   How often does he go to America? = เขาเดินทางไปอเมริกาบ่อยแค่ไหน?
         4. บอกกริยาอาการ (Manner) ได้แก่ คำว่า How (อย่างไร) เช่น
                   -  How are you today? = วันนี้คุณสบายดีหรือเปล่า?
        5. บอกปริมาณ (Quantity) ได้แก่ คำว่า How much (มากเท่าไหร่) เช่น
                   -  How much do you eat? = คุณรับประทานมากเท่าไหร่?
        6. บอกเหตุผล (Reason) ได้แก่ คำว่า Why (ทำไม) เช่น
                   -  Why do you late? = ทำไมคุณถึงมาสายจ๊ะ?
 3. Relative, Conjunction Adverbs คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่มีหน้าที่ขยายและเชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน ได้แก่ คำว่า When, Where, While, Whenever, How, etc. เช่น
                  -  This is the reason why I left. = นี้คือเหตุผลที่ว่าทำไมฉันจึงต้องไป
                  -  I don't know the place where he lives? = ฉันไม่ทราบว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน?
การเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ (Comparison of Adverbs)
        การเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์เพื่อแสดงให้ทราบว่าลักษณะอาการกริยาของบุคคลนั้นกับอีกบุคคลหนึ่งมีมากน้อยกว่ากันหรือไม่
การเปรียบเทียบแบ่งออกได้ 3 ขั้น คือ ขั้นปกติ (Positive Degree), ขั้นกว่า(ComparativeDegree), ขั้นสูงสุด (Superlative Degree) เช่น
               1. ขั้นปกติ (Positive Degree) เป็นการเปรียบเทียบเพื่อแสดงความเท่าเทียมกันใช้ as adv as เช่น
                        -  He speaks English as well as Helen. = เขาพูดภาษาอังกฤษเก่งเท่ากับเฮเลน
                        -  She runs as fast as I do. = หล่อนวิ่งเร็วพอ ๆ กับที่ฉัน
การเปรียบเทียบความไม่เท่ากันใช้ not as adv as หรือ not so adv as เช่น
                       -  Tom does not work as fast as Jenny. = ทอมไม่ได้ทำงานหนักเหมือนกับเจนนี่สักหน่อย
                       - He does not speak English so clearly as I (do). = เขาพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ชัดเจนเหมือนกับฉันเลย
               2. ขั้นกว่า (Comparative Degree) เป็นการเปรียบเทียบเฉพาะ 2 คน หรือ 2 สิ่ง จะต้องมี than ตามหลังเสมอ เช่น
                       -  He speaks English more fluently than his friends.
                       -  Mary runs faster than Jane.
การเปรียบเทียบขั้นกว่านี้ อาจใช้ much ขยาย adverb ให้ชัดเจนเพิ่มขึ้นก็ได้ เช่น
                       -  My teacher wrote essay much more quickly than students.
               3. ขั้นสูงสุด (Superlative Degree) เป็นการเปรียบเทียบตั้งแต่ 3 คนหรือ 3 สิ่งขึ้นไป จะใช้ the นำหน้า adverb หรืออาจจะไม่ใช้ the นำหน้าก็ได้ เช่น
                          -  He runs fastest of all.
รูปของคำกริยาวิเศษณ์ (Forms of Adverbs)
               1. เติม -ly ข้างท้ายคำคุณศัพท์ (adjective) เช่น
                        -  slow   =   slowly
                        -  quick  =   quickly
หมายเหตุ กลุ่มคำต่อไปนี้ถึงแม้ว่าจะเติม -ly แต่เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) คือ friendly, lonely, lovely, likely เป็นต้น
               2.  คำ adjectives ที่ลงท้ายด้วย -y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม -ly เช่น
                        -  easy = easily                         -  happy = happily
                        -  angry = angrily                     -  hungry = hungrily 
                        -  day = daily                            -  noisy = noisily
                3. คำ adjective ที่ลงท้ายด้วย -e ให้เติม -ly เช่น
                        -  extreme = extremely              -  sincere = sincerely
ยกเว้น คำดังต่อไปนี้ให้ตัด -e ออกแล้วเติม -ly เช่น
                        -  true = truly
               4.  คำ adjectives ที่ลงท้ายด้วย -le ให้ตัด e ออกแล้วเติม -y เช่น
                        -  sensible = sensibly                  - simple  =  simply
               5. คำ adjectives บางคำเมื่อเป็น adverbs จะเปลี่ยนรูปไป เช่น
                        -  good - well
               6. คำ adjectives ที่ลงท้ายด้วย -ic ให้เติม -ally เช่น กลับด้านหลัก
                       -  ironic = ironically                    -  terrific = terrifically กลับด้านบน
 http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/18557-00/

Nouns

Nouns ( คำนาม )
Types ( ชนิดของคำนาม







คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง  การแบ่งคำนามสามารถจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่ตำรา  เท่าที่รวบรวมนำเสนอในที่นี้มี  4 แบบ คือ
แบบที่  1     แบ่งคำนามเป็น 2 ประเภท
แบบที่  2     แบ่งคำนามเป็น 3 ประเภท
แบบที่  3     แบ่งคำนามเป็น  4 ประเภท
แบบที่  4     แบ่งคำนามเป็น  7 ประเภท
ซึ่ง ใน  7  ประเภทนี้  3 ประเภทสุดท้ายได้แก่ material nouns, concrete nouns  และ mass  nouns อาจจัดอยู่ในกลุ่ม  common nouns  ได้ดังนี้

2 ประเภท
3 ประเภท
4 ประเภท
7 ประเภท
Common Nouns
Proper Nouns
Common Nouns
Proper Nouns
Abstract Nouns
Common Nouns
Proper Nouns
Abstract Nouns
Collective Nouns
1. Common Nouns
2. Proper Nouns
3. Abstract Nouns
4. Collective Nouns
5. Material Nouns
6. Concrete Nouns
7. Mass Nouns
1.Common Noun (นามทั่วไป)
เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper nouns คือ common nouns เช่น
สิ่งของ          boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant
สถานที่         city, hill, road, stadium, school,company
เหตุการณ์      revolution, journey, meeting
ความรู้สึก      fear, hate, love
เวลา            year, minute, millennium
  • Common Nouns เป็นได้ทั้ง นามนับได้ (Countable) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable )
    Countable Nouns ( นามนับได้ ) สามารถอยู่ทั้งในรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์
            มีตัวตน      เช่น dog, man, coin , note, dollar, table, suitcase
            ไม่มีตัวตน   เช่น day, month, year, action, feeling
    Uncountable Nouns (นามนับไม่ได้ ) หรือ Mass Nouns อยู่ในรูปเอกพจน์ เท่านั้น
            มีตัวตน   เช่น   furniture, luggage, rice, sugar , water ,gold
           ไม่มีตัวตน  เช่น  music, love, happiness, knowledge, advice , information

Common countable
Common uncountable
indefinite(ไม่เจาะจง)
definite(เจาะจง)
indefinite(ไม่เจาะจง)
definite(เจาะจง)
Singular
a cow
the cow
milk
the milk
plural
cows
the cows
-
-
  • Common Nouns จะไม่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter ) ยกเว้นเป็นคำขึ้นต้นของประโยค  ตัวอย่าง
Ther are many children on the beach. Children love to swim.
2.Proper Nouns ( นามเฉพาะ )  จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค
  • เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของ Common Noun เช่น
    ชื่อคน (Person Name) เช่น   Somsak , Tom, Daeng
    ชื่อสถานที่ ( Place Name) เช่น   Australia,Bangkok,Sukhumvit Road, Toyota
    ชื่อบอกระยะเวลา (Time name ) เช่น Saturday, January, Christmas
  • Proper Nouns จะต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter )
  • Proper Nouns ปกติจะไม่มี determiner นำหน้า นอกจากอยู่ในรูปของพหูจน์ เช่น the Jones ( ครอบครัวโจนส์ )
    the United States, the Himalayas
    แต่อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นของคำนามที่ไม่ได้อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น The White House, the Sahara ( ทะเลทราย ),
    the Pacific ( Ocean ), the Vatican, the Kremlin ( ดูรายละเอียดจากเรื่องการใช้ articles – the )
  • เปรียบเทียบระหว่าง common nouns และ proper nouns
Common Nouns
Proper Nouns
dog
Lassie ( ชื่อของสุนัข )
boy
Jack ( ชื่อของเด็กชาย)
car
Toyota ( ชื่อยี่ห้อรถ )
month
January ( ชื่อของเดือน)
road
Sukhumvit ( ชื่อถนน )
university
Chulalongkorn ( ชื่อมหาวิทยาลัย)
ship
U.S.S. Enterprise ( ชื่อเรือ )
country
Thailand (ชื่อประเทศ )
  คำนามประเภทอื่นมีคำอธิบายดังนี้
3.Abstract Nouns   
เป็นคำนามของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เป็นนามที่บอกลักษณะ สภาวะ อาการ เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมักจะมีคำว่า ความ การนำหน้าอยู่ด้วยรวมทั้งชื่อศิลปวิทยาการต่างๆ
Abstract Nouns จะมีที่มาจากคำกริยา ( verb) ,คำคุณศัพท์ ( adjective) และ คำนาม ( noun) ด้วยกันเองบ้าง เช่น
Abstract Nouns
ที่มาจากคำกริยา
Abstract  Nouns
ที่มาจากคำคุณศัพท์
Abstract Nouns
ที่มาจากคำนาม
decision - to decide
beauty - beautiful
infancy - infant
thought  - to think
poverty - poor
childhood - child
Imagination - to imagine
vacancy - vacant
friendship - friend
speech - to speak
happiness - happy

growth - to grow
wisdom - wise

4.Collective Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่เป็นหมวดหมู่ กลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ เช่น family , class, company, committee, cabinet, audience, board, group, jury, public, society, team, majority orchestra, party เป็นต้นรวมทั้ง a flock of birds, a herd of cattle ,a fleet of ships เป็นต้น อาจจะใช้คำกริยารูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้   ว่าต้องการให้เป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นแต่ละส่วน แต่คำนามยังเป็นรูปเดิม เปลี่ยนแต่รูปกริยา เช่น
เอกพจน์ : The average British family has 3.6 members.
            ครอบครัวชาวอังกฤษ (ครอบครัวหนึ่ง ) มีสมาชิกโดยเฉลี่ย 3.6 คน
พหูพจน์: The family are always fighting among themselves. ครอบครัวนี้มักจะทะเลาะกันเอง
          ( ประโยคนี้มีความหมายว่าสมาชิกในครอบครัวต่างทะเลาะกันเองทั้งครอบครัว   จึงใช้กริยาเป็นพหูพจน์ )
เอกพจน์: The committee has reached its decision. คณะกรรมการได้ผลการตัดสินใจ
          ( ของคณะกรรมการรวมกันทั้งคณะ)
พหูพจน์: The committee have been arguing all morning over what they should do.
         คณะกรรมการเถียงกันตลอดทั้งเช้าว่าควรจะทำ อะไร
        ( กรรมการแต่ละคนนับเป็น 1 หน่วย ทั้งคณะจึงเป็นพหูพจน์ )
Collective noun  บางคำมีความหมายเป็นพหูพจน์เท่านั้น เช่น   people, police, cattle
นอกจากนี้ยังมีรูปแบบ คำวลีผสมด้วย of เพื่อเน้นให้ความเป็นหมู่หรือคณะให้ชัดเจนขึ้น รูปแบบคือ Collective noun + of + common noun ตัวอย่างเช่น
a flock of birds
a group of students
a flock of sheep
a pack of cards
a herd of cattle
a bunch of flowers
a fleet of ships
a kilo of pork
5.Concrete Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่มีรูปร่างสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เช่น book , chair, water, oil , ice cream เป็นทั้งนามนับได้ และนับไม่ได้ มีลักษณะตรงกันข้ามกับ abstract nouns.
6.Material Nouns
  • เป็น common nouns ชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่าง อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่นับไม่ได้ เช่น

    ธาตุ: iron, gold, air, copper
    สารธรรมชาติ, สังเคราะห์: stone, cotton, brick, paper, cloth
    ของเหลวต่างๆ: water, coffee, wine, tea, milk  
    อาหาร: rice, bread, sugar, pork, fish, butter, fruit, salad
  • แสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ (quantity)  เช่น
a bowl of rice
two boxes of cereal
five bottles of beer
a cup of tea
three bars of soap
two glasses of water
a loaf of bread
a slice of pizza
a piece of paper
a quart of milk
แต่ในการใช้ material nouns ส่วนมากจะพูดสั้นๆ เช่น ในประโยคเกี่ยวกับ tea ( ชา )

พูดในร้านอาหาร : I want some tea. ฉันขอชาหน่อยใ( ในที่นี้หมายถึง I want a cup of tea. )
พูดในซูเปอร์มาร์เก็ต: I want some tea. ในที่นี้ผู้พูดหมายถึง I want a packet of tea.
พูดในร้านอาหารซึ่งมีชาหลายชนิด หลายยี่ห้อให้เลือก    เช่น ชาจีน ชาเขียว ชาญี่ปุ่น ชาอู่หลง เป็นต้น :
I like their teas. หมายถึง I like their selection of teas. ( ฉันชอบชาหลากหลายชนิดที่มีให้เลือกของร้าน )
7,Mass nouns
เป็นคำนามสิ่งของที่นับไม่ได้ ทั้งมี และไม่มีตัวตน ( uncountable nouns และ abstract nouns ) เช่น sugar, iron , butter, beer, money, blood, furniture, vehicle, courage,gratitude, mercy , accuracy มีลักษณะดังนี้ คือ
  • จะไม่อยู่ในรูปพหูพจน์
  • ไม่ใช้ a , an , the นำหน้า ถ้าใช้เป็นการทั่วไป determiners ที่ใช้นำหน้าคือ some และ any เช่น
    Blood is thicker than water.  เลือดข้นกว่าน้ำ ( uncountable )
    Depression often affects women immediately following the birth of their babies
          ผู้หญิงมักมีอาการซึมเศร้าตามมาหลังคลอดบุตรทันที ( abstract nouns )
    He dropped some money on the floor. เขาทำเงินหล่นลงบนพื้น
หมายเหตุ
* บางตำรา mass nouns คือmaterial nouns + concrete nouns และแยก abstract nouns ออกเป็น nouns อีกประเภทหนึ่ง *คำนามบางคำตามความคิดของคนไทยน่าจะเป็นสิ่งของที่นับได้เช่น furniture, luggage ,equipment, money  แต่ในภาษาอังกฤษ จะมองเป็นของที่นับไม่ได้ จะนับได้ต่อเมื่อแยกเป็นส่วนย่อย เช่น furniture แยกเป็น table, chair เป็นต้น
หากสรุปโดยคิดว่าคำนามมี ประเภท การแยกกลุ่มจะเป็นไปตามตารางข้างล่างนี้    โดยตัวอย่างในบางคำนามจะซ้ำกับในคำนามอื่น เช่น water จะเป็นทั้ง concrete nouns และ material nouns  และ honesty เป็นทั้ง mass nouns และ abstract nouns
Nouns
ประเภทคำนาม
ประเภทย่อย
ประเภทย่อย
ตัวอย่าง
Proper nouns


 John, London
Common nouns
Countable nouns
Concrete
 chair,book,student
Collective nouns
 two flocks of birds ,people
Uncountable Nouns
Concrete nouns
 ice cream,oil,water
Mass Nouns
 furniture,money,honesty
Material nouns
 water,bread,oxygen,gold
Abstract nouns
 honesty, friendship,honesty

ตาราง การใช้ articles นำหน้าคำนาม ซึ่งในที่นี้เป็นหลักทั่วไปไม่รวมข้อยกเว้นต่างๆ   (ดูรายละเอียดข้อยกเว้นได้ในเรื่อง Articles )

Common Nouns
Proper Nouns
Countable Nouns
Uncountable Nouns
Singular
Plural
Singular
Plural
Singular
Plural
ไม่มี article
(John)
the
(the Jones)
ชี้เฉพาะ
(definite )
the
(the boy )
the
(the boys)
the
(the water )
-
ไม่เฉพาะ
(indefinite )
a/an
(a tiger)
ไม่มี article
( tiger)
ไม่มี article
(water)
-

http://ict.moph.go.th/English/content/nouns01.htm