Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)
คำกริยาวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้ขยาย (Modify) คำกริยา, คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง เพื่อให้ได้ความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
- He runs quickly. = quickly บอกอาการของประธาน He ขยายคำกริยาคือ runs
- She is very beautiful. = very บอกปริมาณหรือระดับขยายคำคุณศัพท์คือ beautiful
- He speaks too fast. = too บอกปริมาณหรือระดับขยายคำกริยาวิเศษณ์คือ fast
ประเภทของคำกริยาวิเศษณ์ (Kinds of Adverb)
โดยปกติแล้วคำกริยาวิเศษณ์ แบ่งออกได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. Simple Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์ทั่วไป
2. Interrogative Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์คำถาม
3. Relative(Conjunction) Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์เชื่อมประโยค
คำกริยาวิเศษณ์ส่วนมากจัดอยู่ในประเภท simple adverbs ส่วนประเภท interrogative, relative adverbs นั้นมีไม่มาก มีรายละเอียดดังนี้
1. Simple Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่มีหน้าที่ขยายคำกริยา, คำคุณศัพท์และกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง แบ่งออกได้ดังนี้
1. Adverb of time คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกเกี่ยวกับเวลา ทำหน้าที่ขยายคำกริยาเพื่อบอกเกี่ยวกับเวลา ใช้ตอบคำถามคำว่า
"When" เช่น
- I will do my homework tomorrow. = ฉันจะทำการบ้านของฉันวันพรุ่งนี้
- He came very late. Let's start now. = เขามาช้ามาก, เราเริ่มทำงานตอนนี้เลยดีกว่า
Adverb of Time ที่ใช้บ่อย ๆ ได้แก่
often, afterward = ภายหลัง already = เรียบร้อย
before = ก่อน immediately = ทันที
late, lately = ช้า, เร็ว ๆ นี้ once = ครั้งหนึ่ง
presently = ในเร็ว ๆ นี้(ในอนาคต) shortly = ไม่นาน
soon = ในไม่ช้านี้ still = ยัง
when = เมื่อ yet = ยัง
2. Adverb of Frequency คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกความสม่ำเสมอ, ความถี่หรือจำนวนครั้งของการกระทำ ได้แก่ often, again, sometimes, never, ever, weekly, every morning, monthly, etc. จำใช้ตอบคำถามคำว่า How often? เช่น
- He always does his work well. = เขาผู้ชายทำงานได้ดีเสมอ
- We have never seen now. = พวกเราไม่เคยเห็นหิมะเลย
- I sometimes go shopping. = ฉันไปจับจ่ายซื้อของเป็นบางครั้งบางคราว
หมายเหตุ คำว่า ever (เคย) ไม่นิยมใช้ในประโยคบอกเล่า มักใช้ในประโยคคำถามหรือเงื่อนไข (If-Sentence) เช่น
- Do you ever see Bush now? = คุณเคยพบกับคุณบุชบ้างหรือเปล่า?
3. Adverb of Place คือ คำกริยาวิเศษณ์บอกสถานที่ว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ใด ได้แก่คำว่า near, out, inside, outside, upstairs, downstairs, here, etc. ใช้ตอบคำถามคำว่า "Where" เช่น
- My boss went outsideBangkok. = เจ้านายของฉันได้ออกจากกรุงเทพฯ แล้วจ้า
- He lives here. I want to go there. = เขาอาศัยอยู่ที่นี่ , ฉันต้องการจะไปที่นั่น
3. Adverb of Manner คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกกริยาอาการหรือคุณลักษณะที่แสดงออกมา ได้แก่คำว่า well, fast,
hard, late, probably, slowly, certainly, quietly, carefully, etc. โดยใช้ตอบคำถามว่า "How" เช่น
- Somrak fights bravely. = สมรักษ์ต่อสู้อย่างกล้าหาญ
- She speaks English well. = เขาผู้หญิงพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก ๆ
คำกริยาบอกกริยาอาการ (Adverb of Manner) ยังแบ่งย่อยออกได้อีก ดังนี้
1. Adverb of Degree, Quality คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกลักษณะอาการนั้นอยู่ในระดับหรือคุณภาพใด เช่น
- This coffee is very good. = กาแฟนี้รสชาดดีมาก (very เป็น adverb ขยายคำคุณศัพท์คือ good
เพื่อบอกระดับของ good
- It has been a long journey but we are nearly there now. = มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานทีเดียว
แต่ตอนนี้พวกเราใกล้จะถึงที่หมายแล้ว (nearly เป็น adverb ที่ขยาย adverb คำว่า there)
Adverb of Degree ที่ใช้บ่อย ๆ ได้แก่
very = มาก ๆ, อย่างยิ่ง quite = โดยสมบูรณ์, ทีเดียว, จริง ๆ
too = เพิ่มเติม, ด้วยเหมือนกัน nearly = เกือบทั้งหมด, ประมาณ
completely = สำเร็จ, ครบ, สมบูรณ์ absolutely = ทั้งหมด, โดยสมบูรณ์
deeply = อย่างมาก, อย่างลึกซึ้ง distinctly = ชัดเจน, แจ่มแจ้ง
enormous = ใหญ่โต entirely = สมบูรณ์, ทั้งสิ้น
greatly = อย่างยิ่งใหญ่ equally = เท่ากัน, เสมอกัน
exactly = อย่างแน่นอน, อย่างแน่ชัด extremely = อย่างสุดยอด
just = อย่างเหมาะ, พอดี much = มาก
2. Adverb of Quantity คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกปริมาณของการกระทำว่ามากน้อยหรือบ่อยแค่ไหน เช่น
- He worked little. = เขาทำงานไม่มาก
- She worked much = หล่อนทำงานหนัก
- We won the prize twice = พวกเราได้รับรางวัลสองครั้ง
3. Adverb of Reason คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกถึงเหตุผลในการกระทำนั้น ๆ เช่น
- Consequently, he refused to go. = เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ปฏิเสธที่จะไปด้วย
- Therefore, they decided to boycott the meeting. = เพราะฉะนั้นพวกเขาจึุงตัดสินใจไม่เข้าร่วมประชุม
- Hence, I am unable to help you. = ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถช่วยคุณได้
4. Adverb of Affirmation คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่แสดงการยืนยันหรือการปฏิเสธ เช่น
- She is certainly right. I am not going. = หล่อนพูดถูกจริงๆ ผมจะไม่ไป
- He is a fool indeed. = เขาช่างเป็นคนโง่จริง ๆ
- You are surely misunderstood. I will probably go. = คุณเข้าใจผิดอย่างแน่นอน บางทีผมจะไป
2. Interrogative Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่มีหน้าทำหน้าที่เป็นคำถาม ซึ่งอาจเป็นคำเดี่ยว ๆ หรือเป็นคำผสม มักจะวางไว้
ต้นประโยคเสมอ แบ่งออกได้ 6 ประเภท คือ
ต้นประโยคเสมอ แบ่งออกได้ 6 ประเภท คือ
1. บอกเวลา (Time) ได้แก่คำว่า "When" (เมื่อไหร่), "How long" (นานเท่าไหร่) เช่น
- When will you come back? = คุณจะกลับมาเมื่อไหร่?
- How long have you been in Bangkok? = คุณมาอยู่ที่กรุงเทพฯ นานเท่าไหร่แล้วจ๊ะ
2. บอกสถานที่,ตำแหน่ง (Place) ได้แก่คำว่า "Where" เช่น
- Where are you come from? = คุณมาจากไหน?
3. บอกจำนวน (Number) ได้แก่คำว่า How many (มากเท่าไหร่), How often (บ่อยครั้งเท่าไหร่) เช่น
- How many pens do you have? = คุณมีปากกามากเท่าไหร่?
- How often does he go to America? = เขาเดินทางไปอเมริกาบ่อยแค่ไหน?
4. บอกกริยาอาการ (Manner) ได้แก่ คำว่า How (อย่างไร) เช่น
- How are you today? = วันนี้คุณสบายดีหรือเปล่า?
5. บอกปริมาณ (Quantity) ได้แก่ คำว่า How much (มากเท่าไหร่) เช่น
- How much do you eat? = คุณรับประทานมากเท่าไหร่?
6. บอกเหตุผล (Reason) ได้แก่ คำว่า Why (ทำไม) เช่น
- Why do you late? = ทำไมคุณถึงมาสายจ๊ะ?
3. Relative, Conjunction Adverbs คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่มีหน้าที่ขยายและเชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน ได้แก่ คำว่า When, Where, While, Whenever, How, etc. เช่น
- This is the reason why I left. = นี้คือเหตุผลที่ว่าทำไมฉันจึงต้องไป
- I don't know the place where he lives? = ฉันไม่ทราบว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน?
การเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ (Comparison of Adverbs)
การเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์เพื่อแสดงให้ทราบว่าลักษณะอาการกริยาของบุคคลนั้นกับอีกบุคคลหนึ่งมีมากน้อยกว่ากันหรือไม่
การเปรียบเทียบแบ่งออกได้ 3 ขั้น คือ ขั้นปกติ (Positive Degree), ขั้นกว่า(ComparativeDegree), ขั้นสูงสุด (Superlative Degree) เช่น
1. ขั้นปกติ (Positive Degree) เป็นการเปรียบเทียบเพื่อแสดงความเท่าเทียมกันใช้ as adv as เช่น
- He speaks English as well as Helen. = เขาพูดภาษาอังกฤษเก่งเท่ากับเฮเลน
- She runs as fast as I do. = หล่อนวิ่งเร็วพอ ๆ กับที่ฉัน
การเปรียบเทียบความไม่เท่ากันใช้ not as adv as หรือ not so adv as เช่น
- Tom does not work as fast as Jenny. = ทอมไม่ได้ทำงานหนักเหมือนกับเจนนี่สักหน่อย
- He does not speak English so clearly as I (do). = เขาพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ชัดเจนเหมือนกับฉันเลย
2. ขั้นกว่า (Comparative Degree) เป็นการเปรียบเทียบเฉพาะ 2 คน หรือ 2 สิ่ง จะต้องมี than ตามหลังเสมอ เช่น
- He speaks English more fluently than his friends.
- Mary runs faster than Jane.
การเปรียบเทียบขั้นกว่านี้ อาจใช้ much ขยาย adverb ให้ชัดเจนเพิ่มขึ้นก็ได้ เช่น
- My teacher wrote essay much more quickly than students.
3. ขั้นสูงสุด (Superlative Degree) เป็นการเปรียบเทียบตั้งแต่ 3 คนหรือ 3 สิ่งขึ้นไป จะใช้ the นำหน้า adverb หรืออาจจะไม่ใช้ the นำหน้าก็ได้ เช่น
- He runs fastest of all.
รูปของคำกริยาวิเศษณ์ (Forms of Adverbs)
1. เติม -ly ข้างท้ายคำคุณศัพท์ (adjective) เช่น
- slow = slowly
- quick = quickly
หมายเหตุ กลุ่มคำต่อไปนี้ถึงแม้ว่าจะเติม -ly แต่เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) คือ friendly, lonely, lovely, likely เป็นต้น
2. คำ adjectives ที่ลงท้ายด้วย -y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม -ly เช่น
- easy = easily - happy = happily
- angry = angrily - hungry = hungrily
- day = daily - noisy = noisily
3. คำ adjective ที่ลงท้ายด้วย -e ให้เติม -ly เช่น
- extreme = extremely - sincere = sincerely
ยกเว้น คำดังต่อไปนี้ให้ตัด -e ออกแล้วเติม -ly เช่น
- true = truly
4. คำ adjectives ที่ลงท้ายด้วย -le ให้ตัด e ออกแล้วเติม -y เช่น
- sensible = sensibly - simple = simply
5. คำ adjectives บางคำเมื่อเป็น adverbs จะเปลี่ยนรูปไป เช่น
- good - well
6. คำ adjectives ที่ลงท้ายด้วย -ic ให้เติม -ally เช่น กลับด้านหลัก
- ironic = ironically - terrific = terrifically กลับด้านบน
http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/18557-00/